พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
ประวัติคุณย่าบุ...
ประวัติคุณย่าบุญเรือน โตงบุญเติม (แม่ชีบุญเรือน)

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์
“อิทธิปาฏิหาริย์” เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ ชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลส “ปาฏิหาริย์” ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคน
ในอดีตกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากสำหรับสานุศิษย์และคณะผู้ศรัทธา ท่านคือ “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม” ผู้สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษสำเร็จ “จตุตถฌาณ 4” และ “อภิญญา 6” อันเป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งชีวิต ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัว สั่งฟ้า ห้ามฝน และใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปจนหาย
อุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่า “คุณแม่บุญเรือน” เพราะความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ อีกทั้ง กระทำตนเป็น “แม่” ของทุกคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่าน เหมือนอย่างที่แม่คนหนึ่งที่ให้แก่บุตรธิดาของตนนั่นเอง
คุณแม่บุญเรือนท่านเป็นนักบุญ และเป็นผู้นำในการประกอบการทำบุญต่างๆ ที่เข้มแข็งแกล้วกล้าสามารถทุกอย่าง ทั้งยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนและบรรยายธรรมให้บุคคลทั่วไปเข้าใจทราบซึ้งในธรรมได้อย่างดีเลิศ พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวคลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร บิดา-มารดาชื่อ นายยิ้ม และนางสวน กลิ่นผกา วันที่ท่านได้ลืมตามองดูโลกเป็นครั้งแรกอันเป็นภพปัจจุบันของท่านนั้น ตรงกับวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมีย ขึ้น 15 ค่ำ เวลา 11.20 นาฬิกา หรือนัยหนึ่งก็คือ วันที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2437 ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจน บิดา-มารดาเป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่แถวตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี ท่านก็ได้เจริญเติบโตมาในละแวกนี้จนเติบใหญ่
ในวัยเด็กท่านได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ ตามอัตภาพของสตรีเพศในสมัยก่อน แต่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดี เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้รับตำราหมอนวดและการฝึกอบรมจากอาจารย์กลิ่น หมอนวดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ท่านสนใจศึกษาจนแตกฉานจนกลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก โดยท่านไม่เคยคิดค่านวดค่ารักษาแม้ครั้งเดียว แต่จะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์กลิ่นตลอด ด้วยมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะในพระพุทธองค์จาก “หลวงตาพริ้ง” ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบางปะกอก ผู้มีศักดิ์เป็นลุง พระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา
เมื่อมีอายุในวัยครองเรือน คุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับสิบตำรวจโทจ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้
ท่านเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะผู้ร่วมบุญในนาม “คณะสามัคคีวิสุทธิ” ซึ่งช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ ตลอดจน รักษาโรคภัยไข้เจ็บนานัปการด้วยอำนาจพระพุทธคุณแก่ทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่ และยึดถือหลักการบริจาคและการให้เป็นหลักสำคัญ ในที่สุดจนกระทั่งปี พ.ศ. 2470 ท่านก็เข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยการบวชชี โดยได้ลาสามีเพื่อมาบวชชีที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชชีอีกในปี พ.ศ. 2482
ด้านอุปนิสัยนั้น ผู้ที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนดีตั้งแต่อายุท่านยังน้อยอยู่ คงพอจะทราบได้ดีว่า ท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาท คุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน แต่ทว่าท่านเป็นคนที่ค่อนข้าง “ดุเดือด โผงผาง และมีวาจาไม่อ้อมค้อมแบบขวานผ่าซาก” อยู่บ้าง พูดเสียงดัง กังวาล เด็ดขาด และจริงจัง หรือนัยหนึ่งก็คือพูดจริงทำจริงตลอดเวลา
งานบุญตามคติแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยการทำทาน ถือศีล การภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรม และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คุณแม่บุญเรือน รัก ศรัทธา เลื่อมใส ปฏิบัติมาตั้งแต่อายุเริ่มวัยกลางคน ขณะยังครองชีวิตร่วมกับสิบตำรวจโทจ้อย ทีเดียว งานทำทานไม่ว่าจะเป็นทานต่อบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือการถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งการถวายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ได้เพียรบำเพ็ญตลอดมาไม่ขาดสาย ท่านเป็นผู้รักการบำเพ็ญทานการกุศลตั้งแต่อายุน้อย ตลอดมาจนเติบใหญ่ และจนตลอดชีวิตของท่าน
คุณแม่บุญเรือน เคารพศรัทธาเลื่อมใสในคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง และเคร่งครัดตลอดเวลา ท่านฝึกจิตใจและความรู้สึกให้เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยการเสียสละ ไม่นิยมการสั่งสม โปรดการให้เป็นหัวใจสำคัญ ตัดความรู้สึกด้านโกรธ รัก โลภ และหลง โดยสิ้นเชิง นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ซึ่งยากจะหาผู้อื่นที่บำเพ็ญตนให้เท่าเทียมได้
การถือศีล คุณแม่บุญเรือนเคร่งครัดในศีล 5 วันธรรมสวนะยึดมั่นในศีล 8 แต่ชีวิตตอนหลังส่วนใหญ่ท่านถือศีล 5 เป็นประจำ การภาวนาอันประกอบด้วยสวดมนต์ ฟังธรรม และทำวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฝึกจิตให้สะอาดปราศจากมลทิน มีสมาธิแน่วแน่ เกิดปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมอันวิเศษของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เพียรบำเพ็ญปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนตลอดชีวิตของท่าน
ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสมาธิซึ่งเป็น “พลังจิต” อันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่ และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้

คุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรม
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับพระรูปหนึ่ง (หลวงตาสุวรรณ) อันมีนัยยะอันสำคัญตอนหนึ่งว่า “ตั้งใจจะขอปฎิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 90 วัน โดยถือศีล 8 บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ 89 ก็ยังไม่สำเร็จธรรมหรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี ซึ่งได้ทักมาว่า “กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด...”
คุณแม่บุญเรือนจึงว่า “เมื่อจะให้อยู่บ้าน ก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล 8 เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?” สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อย ก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดาของคุณแม่บุญเรือน และหลานๆ 2-3 คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ ปี พ.ศ. 2470
จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่า “เออ.....สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่.
ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี 2 ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า “ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง 5 อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย.

ล่องหนหายตัว
จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้ว ก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี 5 รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้
พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลามาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควร ขณะนั้น ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที
การล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ “อภิญญา” เมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัด แพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชี อุบาสกอุบาสิกาต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน จนความนี้ได้ทราบถึง ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) พระอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้คุณแม่บุญเรือนเอง
ท่านจึงให้เชิญคุณแม่บุญเรือนไปสอบถาม และขอให้คุณแม่บุญเรือนแสดงปาฏิหาริย์หายตัวเข้ามาอยู่ในศาลาวัดให้เป็นที่แจ้งประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็ตอบรับ ขอทดลองดูอีกครั้งในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน คืนนั้นตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 แม่ชีฟัก เพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อยอย่างแน่นหนา และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย คืนนั้นปรากฏว่าที่วัดสัมพันธวงศ์ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านคึกคักตื่นเต้นกันน่าดู มีการจัดยามเฝ้าที่ประตูวัดทุกๆ ด้าน ถึงประตูละสองคน และมีการเดินสำรวจรอบศาลาวัดกันให้ขวักไขว่ทั้งคืน ชนิดมดแมงสักตัวเดินผ่านมา ก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้
ส่วนที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน คุณแม่บุญเรือนได้เข้าไปเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำ จนใกล้รุ่ง จึงอธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ได้เช่นเดียวกับคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีลีลาอาการหกคว่ำคะมำหงายเหมือนคราวแรก นั่นคือพออธิษฐานเสร็จแล้วหลับตาลง พอลืมตาปั๊บ ตัวของคุณแม่บุญเรือนก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ในศาลาทันที
เมื่อคุณแม่บุญเรือนปาฏิหาริย์มานั่งในศาลาเสร็จ สิ่งแรกที่หูได้ผัสสะกับเสียงที่มากระทบก็คือ เสียงอุบาสิกาคุยกันว่า “จะแจ้ง (สว่าง) แล้ว น่ากลัวไม่มาแล้วมั๊ง ?” ส่วนอีกรายก็ว่า “ไม่มาก็ดี...ถ้ามา...ฉันจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชากับเขาอีก !?”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น คุณแม่บุญเรือนจึงร้องออกไปในทันใดว่า “เอ้า..! ใครอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉัน...เชิญทางนี้...ฉันมาแล้ว !
พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจ และแน่ใจว่าหายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ 1 องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป

ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์)
อภิญญาในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้ มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาค เขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบ บุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขากลับ น้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท (สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่า คุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์
พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิง ข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาท ไปคืนให้ บอกว่า “เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้” นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิตของคนพูด ว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิงและสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่างๆ จนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์”
รักษาด้วยวาจาสิทธิ์
เป็นบันทึกของนายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 07.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ หมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก
อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผม ค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า “อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้” แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง ?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)
ครั้นรุ่งเช้า นายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานี นี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน
มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า !” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆ ชายหลังโกงก็ค่อยๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์”


นิ่วในถุงน้ำดี
ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่นหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที
ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแพทย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว

ยาวิเศษ
พลตรียุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที
ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยม ของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้”



การสร้างวัตถุมงคล
ในวงการผู้นิยมสะสมวัตถุมงคล พระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์รูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระเครื่องบางคนอาจจะรู้จักบ้าง ส่วนคนนอกวงการพระเครื่องอาจจะเกิดคำถามว่า “มีด้วยหรือ ?”
วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อธิษฐานจิตมอบให้ลูกศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์ และ ภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระเครื่องยิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน
ส่วน “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ”
การวายชนม์ทิ้งร่าง
คุณธรรมอันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอ แต่ท่านก็ไม่ทำ
ท่านบอกว่า “สังขาร ร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วายชนม์ทิ้งร่างไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2507 เวลา 11.20 นาฬิกา สิริอายุรวม 70 ปี และได้มีการบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ณ วัดธาตุทอง แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คุณแม่บุญเรือน ท่านรู้สถานที่ วันและเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไป โดยท่านให้ตั้งเวลานาฬิกาไว้ถึง 2 เรือนล่วงหน้า คือ 11.20 น. !!! (ตรงกับเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไปจริงๆ)
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก
(๑) นิตยสารหญิงไทย เรื่องโดย สายทิพย์
(๒) หนังสือพิมพ์คม ชัก ลึก - 2006/11/20
เรื่องโดย พิสิษฐ์ จันทร์ศรี
www.dhammajak.net
ผู้เข้าชม
934 ครั้ง
ราคา
-
สถานะ
โชว์พระ
โดย
ชื่อร้าน
ยังไม่เปิดร้านค้า
ร้านค้า
-
โทรศัพท์
ไอดีไลน์
amnatdham
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ / 177-2-40375-0

ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
ponsrithongเพ็ญจันทร์ชาวานิชชา วานิชเปียโนอมรทรัพย์พระเครื่อง
ต๊ะ อินทร์บุรีlynnchaokohKumpangสรณะพระเครื่องpratharn_p
BAINGERNjochoหริด์ เก้าแสนaonsamuiแมวดำ99ทองธนบุรี
tintinAmuletManด้วง เกิดผลtermboonPopgomesพระเครื่องโคกมน
ep8600chathanumaanเสน่ห์พระเครื่องponsrithong2KhunNineBanKhamน้ำตาลแดง

ผู้เข้าชมขณะนี้ 1281 คน

เพิ่มข้อมูล

ประวัติคุณย่าบุญเรือน โตงบุญเติม (แม่ชีบุญเรือน)




  ส่งข้อความ



ชื่อพระเครื่อง
ประวัติคุณย่าบุญเรือน โตงบุญเติม (แม่ชีบุญเรือน)
รายละเอียด

คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อุบาสิกาผู้มีพลังจิตมหัศจรรย์
“อิทธิปาฏิหาริย์” เป็นเรื่องที่ดูเหนือธรรมชาติ ชวนพิศวงสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวังวนของกิเลส สำหรับผู้ปฏิบัติทางจิตที่กำลังจะล่วงพ้นบ่วงกิเลส “ปาฏิหาริย์” ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ปฏิบัติสามารถทำได้ทุกคน
ในอดีตกว่าหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปคงจะเคยคุ้นชื่อของอุบาสิกาท่านหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากสำหรับสานุศิษย์และคณะผู้ศรัทธา ท่านคือ “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม” ผู้สามารถบรรลุธรรมอันวิเศษสำเร็จ “จตุตถฌาณ 4” และ “อภิญญา 6” อันเป็นอานิสงส์สูงสุดแห่งชีวิต ปรากฏเป็นปาฏิหาริย์จนเลื่องลือในทางตาทิพย์ หูทิพย์ รู้วาระจิตผู้อื่น ล่องหนหายตัว สั่งฟ้า ห้ามฝน และใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไปจนหาย
อุบาสิกาบุญเรือน โดยทั่วไปคนที่เคารพท่านมักเรียกท่านว่า “คุณแม่บุญเรือน” เพราะความเมตตากรุณาที่ท่านมีให้กับทุกคนไม่เลือกชั้นวรรณะ อีกทั้ง กระทำตนเป็น “แม่” ของทุกคนที่ไปขอความช่วยเหลือจากท่าน เหมือนอย่างที่แม่คนหนึ่งที่ให้แก่บุตรธิดาของตนนั่นเอง
คุณแม่บุญเรือนท่านเป็นนักบุญ และเป็นผู้นำในการประกอบการทำบุญต่างๆ ที่เข้มแข็งแกล้วกล้าสามารถทุกอย่าง ทั้งยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนและบรรยายธรรมให้บุคคลทั่วไปเข้าใจทราบซึ้งในธรรมได้อย่างดีเลิศ พื้นเพเดิมท่านเป็นชาวคลองสามวา อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร บิดา-มารดาชื่อ นายยิ้ม และนางสวน กลิ่นผกา วันที่ท่านได้ลืมตามองดูโลกเป็นครั้งแรกอันเป็นภพปัจจุบันของท่านนั้น ตรงกับวันอาทิตย์ เดือน 4 ปีมะเมีย ขึ้น 15 ค่ำ เวลา 11.20 นาฬิกา หรือนัยหนึ่งก็คือ วันที่ 10 มีนาคม พุทธศักราช 2437 ครอบครัวมีฐานะค่อนข้างยากจน บิดา-มารดาเป็นชาวสวน ซึ่งต่อมาครอบครัวได้ย้ายถิ่นฐานไปอยู่แถวตำบลบางปะกอก อำเภอราษฎร์บูรณะ จังหวัดธนบุรี ท่านก็ได้เจริญเติบโตมาในละแวกนี้จนเติบใหญ่
ในวัยเด็กท่านได้รับการศึกษาพออ่านออกเขียนได้ ตามอัตภาพของสตรีเพศในสมัยก่อน แต่ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการบ้านการเรือนเป็นอย่างดี เมื่ออายุได้ 15 ปี ท่านได้รับตำราหมอนวดและการฝึกอบรมจากอาจารย์กลิ่น หมอนวดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ ท่านสนใจศึกษาจนแตกฉานจนกลายเป็นหมอนวดที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก โดยท่านไม่เคยคิดค่านวดค่ารักษาแม้ครั้งเดียว แต่จะให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้อาจารย์กลิ่นตลอด ด้วยมีนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรมมาแต่เด็ก ได้รับการสั่งสอนให้รู้จักธรรมะในพระพุทธองค์จาก “หลวงตาพริ้ง” ซึ่งบวชเป็นพระอยู่ที่วัดบางปะกอก ผู้มีศักดิ์เป็นลุง พระสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น จนทำให้คุณแม่บุญเรือนเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ฝักใฝ่ในบุญกุศล หมั่นเพียรในทางธรรมตลอดมา
เมื่อมีอายุในวัยครองเรือน คุณแม่บุญเรือนได้สมรสกับสิบตำรวจโทจ้อย โตงบุญเติม แต่ไม่มีบุตรด้วยกัน ภายหลังจึงรับเด็กหญิงมาอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมคนหนึ่ง ขณะเดียวกันคุณแม่บุญเรือน ก็ยังมีโอกาสได้ปฏิบัติและศึกษาธรรมมากขึ้น โดยมีท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) เป็นพระอาจารย์สอนสมถะวิปัสสนากรรมฐานให้
ท่านเป็นผู้นำในการจัดตั้งคณะผู้ร่วมบุญในนาม “คณะสามัคคีวิสุทธิ” ซึ่งช่วยเหลืองานบุญงานกุศลต่างๆ ตลอดจน รักษาโรคภัยไข้เจ็บนานัปการด้วยอำนาจพระพุทธคุณแก่ทุกคนอย่างเต็มที่ ไม่เลือกชั้นวรรณะ ด้วยความเสียสละอันยิ่งใหญ่ และยึดถือหลักการบริจาคและการให้เป็นหลักสำคัญ ในที่สุดจนกระทั่งปี พ.ศ. 2470 ท่านก็เข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยการบวชชี โดยได้ลาสามีเพื่อมาบวชชีที่วัดสัมพันธวงศ์อยู่ระยะหนึ่ง แล้วลาสึกไป และเมื่อสามีถึงแก่กรรมแล้ว จึงมีศรัทธากลับมาบวชชีอีกในปี พ.ศ. 2482
ด้านอุปนิสัยนั้น ผู้ที่รู้จักคุณแม่บุญเรือนดีตั้งแต่อายุท่านยังน้อยอยู่ คงพอจะทราบได้ดีว่า ท่านเป็นผู้ที่เพียบพร้อมด้วยมารยาท คุณธรรมอันสูงส่ง มีอุปนิสัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาปรานีแก่บุคคลที่รู้จักพบเห็นทุกคน แต่ทว่าท่านเป็นคนที่ค่อนข้าง “ดุเดือด โผงผาง และมีวาจาไม่อ้อมค้อมแบบขวานผ่าซาก” อยู่บ้าง พูดเสียงดัง กังวาล เด็ดขาด และจริงจัง หรือนัยหนึ่งก็คือพูดจริงทำจริงตลอดเวลา
งานบุญตามคติแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วยการทำทาน ถือศีล การภาวนา สวดมนต์ ฟังธรรม และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้น คุณแม่บุญเรือน รัก ศรัทธา เลื่อมใส ปฏิบัติมาตั้งแต่อายุเริ่มวัยกลางคน ขณะยังครองชีวิตร่วมกับสิบตำรวจโทจ้อย ทีเดียว งานทำทานไม่ว่าจะเป็นทานต่อบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือการถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ รวมทั้งการถวายอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ได้เพียรบำเพ็ญตลอดมาไม่ขาดสาย ท่านเป็นผู้รักการบำเพ็ญทานการกุศลตั้งแต่อายุน้อย ตลอดมาจนเติบใหญ่ และจนตลอดชีวิตของท่าน
คุณแม่บุญเรือน เคารพศรัทธาเลื่อมใสในคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างจริงจัง และเคร่งครัดตลอดเวลา ท่านฝึกจิตใจและความรู้สึกให้เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยการเสียสละ ไม่นิยมการสั่งสม โปรดการให้เป็นหัวใจสำคัญ ตัดความรู้สึกด้านโกรธ รัก โลภ และหลง โดยสิ้นเชิง นับได้ว่าเป็นชาวพุทธที่สำคัญยิ่งผู้หนึ่ง ซึ่งยากจะหาผู้อื่นที่บำเพ็ญตนให้เท่าเทียมได้
การถือศีล คุณแม่บุญเรือนเคร่งครัดในศีล 5 วันธรรมสวนะยึดมั่นในศีล 8 แต่ชีวิตตอนหลังส่วนใหญ่ท่านถือศีล 5 เป็นประจำ การภาวนาอันประกอบด้วยสวดมนต์ ฟังธรรม และทำวิปัสสนากัมมัฏฐาน ฝึกจิตให้สะอาดปราศจากมลทิน มีสมาธิแน่วแน่ เกิดปัญญาแจ่มแจ้งในธรรมอันวิเศษของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้เพียรบำเพ็ญปฏิบัติโดยสม่ำเสมอจนตลอดชีวิตของท่าน
ความเพียรในการฝึกจิตและเรียนรู้ทางธรรมของคุณแม่บุญเรือน ปรากฏเรื่องราวอันเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ที่จะสำเร็จได้ก็ด้วยอำนาจสมาธิซึ่งเป็น “พลังจิต” อันมหัศจรรย์ จึงมีเรื่องเล่ามากมายจากคนเก่าแก่ และผู้ประสบเหตุเรื่องราวพิศวง อันเกิดจากอำนาจทิพย์ของอุบาสิกาท่านนี้

คุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรม
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เคยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่ท่านจะบรรลุธรรมไว้กับพระรูปหนึ่ง (หลวงตาสุวรรณ) อันมีนัยยะอันสำคัญตอนหนึ่งว่า “ตั้งใจจะขอปฎิบัติธรรมให้สำเร็จอยู่ที่ศาลาวัดสัมพันธวงศ์ เป็นเวลา 90 วัน โดยถือศีล 8 บวชเป็นชี นั่งสวดมนต์ภาวนา เจริญวิปัสสนาตามแนวทางของท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) การปฏิบัติธรรมดำเนินไปจนล่วงเข้าวันที่ 89 ก็ยังไม่สำเร็จธรรมหรือเห็นธรรมแต่ประการใด จึงคิดท้อใจกลับบ้านที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน ได้พบกับสิบตำรวจโทจ้อย ผู้เป็นสามี ซึ่งได้ทักมาว่า “กลับมาแล้วหรือ ? เมื่อกลับมาแล้วก็อยู่บ้านเถิด...”
คุณแม่บุญเรือนจึงว่า “เมื่อจะให้อยู่บ้าน ก็ขอให้โยมจ้อยถือศีล 8 เลิกยุ่งเกี่ยวฉันสามีภรรยาจะได้ไหม ?” สิบตำรวจโทจ้อยก็รับคำ จากนั้นสิบตำรวจโทจ้อย ก็ขอตัวออกไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ ที่บ้านคงเหลือแต่โยมมารดาของคุณแม่บุญเรือน และหลานๆ 2-3 คน คุณแม่บุญเรือนจึงอาบน้ำ นุ่งขาวห่มขาว เตรียมตัวไหว้พระสวดมนต์ ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 21.00 นาฬิกา เดือน 6 ขึ้น 14 ค่ำ ปี พ.ศ. 2470
จากนั้น คุณแม่บุญเรือนก็ได้แลเห็นโยมมารดาและหลานๆ นอนหลับกันหมดแล้ว โยมมารดานั้นมีอาการกรน ส่วนหลานๆ ก็มีอาการละเมอบ่นพึมพำ และกัดฟันกรอดๆ รู้สึกเกิดธรรมสังเวชเบื่อหน่ายต่อสภาพอย่างนั้นขึ้นมาในขณะนั้นทีเดียวว่า “เออ.....สังขารร่างกายนี้ ถึงแม้จะหลับใหลไปแล้ว แต่ก็ยังมีเวทนาผุดซ้อนขึ้นมาอีกนะนี่.
ท่านจึงคิดอยากหลีกหนีเสียชั่วคราว ครั้นแล้วคุณแม่บุญเรือน ก็ได้นั่งสมาธิกรรมฐานในห้องพระ จนกระทั่งถึงเวลาประมาณตี 2 ก็มีอาการแน่นหน้าอก อึดอัด หายใจไม่ออก คล้ายกำลังจะตาย จึงตั้งสติว่า “ถ้าจะตายก็ขอให้ตายในตอนนี้เถิด จะได้หมดเวรหมดกรรม ธรรมก็ยังไม่ได้บรรลุเลย” น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อคุณแม่บุญเรือนคิดดังนี้เท่านั้น อาการทุกขเวทนาทั้งปวงก็พลันหายไปสิ้น บังเกิดความสว่างขึ้นมาทั้งตัว มีความใสสว่างอย่างสุดที่จะประมาณ รู้ชัดว่าตนเองบรรลุอภิญญาถึง 5 อย่าง มีพระธรรมเข้าประทับ เมื่อนึกอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็รู้แจ้งแทงตลอดสว่างไสวไปหมด และยังได้อิทธิปาฏิหาริย์อีกด้วย.

ล่องหนหายตัว
จากนั้น เมื่อคุณแม่บุญเรือนบรรลุธรรมแล้ว ก็ได้นั่งกรรมฐานต่อไปอีก จนกระทั่งเวลาใกล้ตี 5 รุ่งเช้า ได้คิดถึงวัดสัมพันธวงศ์ จึงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เข้าไปนั่งในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ ซึ่งศาลานี้เป็นที่อยู่ของแม่ชีนักปฏิบัติธรรม คุณแม่เองก็เคยอาศัยบำเพ็ญธรรมที่ศาลานี้
พอสิ้นอธิษฐาน แล้วหลับตาลง ก็คล้ายกับหัวได้หกกลับไปเบื้องหน้า คล้ายกับตีลังกา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าตัวเองได้เข้ามานั่งอยู่ในศาลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ทราบว่าเข้าศาลามาทางไหน และที่บ้านพักตำรวจกับศาลาวัดสัมพันธวงศ์ก็ไกลกันพอสมควร ขณะนั้น ประตูศาลาวัดยังคงปิดใส่กุญแจอยู่ คุณแม่บุญเรือนจึงได้ร้องเรียกให้พระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในบริเวณนั้น ช่วยไขกุญแจเปิดประตูให้ที
การล่องหนหายตัวจากสถานที่หนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เป็นผลจากการปฏิบัติทางจิตจนได้ “อภิญญา” เมื่อเรื่องที่คุณแม่บุญเรือนหายตัวมาปรากฏอยู่ในศาลาวัด แพร่หลายออกไป ก็มีพระเณรเถรชี อุบาสกอุบาสิกาต่างก็มารุมล้อม โจษจันกันเซ็งแซ่ด้วยความตื่นเต้นอัศจรรย์ใจอย่างเหลือที่จะกล่าวได้ไปตามๆ กัน จนความนี้ได้ทราบถึง ท่านเจ้าคุณพระมหารัชชมังคลาจารย์ (เทศ นิทฺเทสโก) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ “พระรัชชมงคลมุนี” เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ (ในสมัยนั้น) พระอาจารย์ผู้สอนกรรมฐานให้คุณแม่บุญเรือนเอง
ท่านจึงให้เชิญคุณแม่บุญเรือนไปสอบถาม และขอให้คุณแม่บุญเรือนแสดงปาฏิหาริย์หายตัวเข้ามาอยู่ในศาลาวัดให้เป็นที่แจ้งประจักษ์อีกครั้ง ซึ่งคุณแม่บุญเรือนก็ตอบรับ ขอทดลองดูอีกครั้งในเวลาใกล้รุ่งของอีกวัน คืนนั้นตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 แม่ชีฟัก เพื่อนปฏิบัติธรรม พักอยู่เป็นประจำที่ศาลานี้ ให้แม่ชีผู้อยู่ศาลาอีก 3 คนดูแลปิดประตูหน้าต่างลงกลอนให้เรียบร้อยอย่างแน่นหนา และดูให้รู้เห็นเป็นพยานด้วย คืนนั้นปรากฏว่าที่วัดสัมพันธวงศ์ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านคึกคักตื่นเต้นกันน่าดู มีการจัดยามเฝ้าที่ประตูวัดทุกๆ ด้าน ถึงประตูละสองคน และมีการเดินสำรวจรอบศาลาวัดกันให้ขวักไขว่ทั้งคืน ชนิดมดแมงสักตัวเดินผ่านมา ก็ยากจะรอดพ้นสายตาไปได้
ส่วนที่บ้านพักตำรวจปทุมวัน คุณแม่บุญเรือนได้เข้าไปเจริญพระกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำ จนใกล้รุ่ง จึงอธิษฐานให้หายวับจากบ้านพัก เข้าไปปรากฏตัวในศาลาวัดสัมพันธวงศ์ได้เช่นเดียวกับคราวก่อน แต่คราวนี้ไม่มีลีลาอาการหกคว่ำคะมำหงายเหมือนคราวแรก นั่นคือพออธิษฐานเสร็จแล้วหลับตาลง พอลืมตาปั๊บ ตัวของคุณแม่บุญเรือนก็มานั่งเรียบร้อยอยู่ในศาลาทันที
เมื่อคุณแม่บุญเรือนปาฏิหาริย์มานั่งในศาลาเสร็จ สิ่งแรกที่หูได้ผัสสะกับเสียงที่มากระทบก็คือ เสียงอุบาสิกาคุยกันว่า “จะแจ้ง (สว่าง) แล้ว น่ากลัวไม่มาแล้วมั๊ง ?” ส่วนอีกรายก็ว่า “ไม่มาก็ดี...ถ้ามา...ฉันจะต้องไปเป็นลูกศิษย์ขอเรียนวิชากับเขาอีก !?”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเช่นนั้น คุณแม่บุญเรือนจึงร้องออกไปในทันใดว่า “เอ้า..! ใครอยากจะเป็นลูกศิษย์ฉัน...เชิญทางนี้...ฉันมาแล้ว !
พวกที่คอยอยู่ก็แปลกใจ และแน่ใจว่าหายตัวผ่านเข้ามาได้จริงๆ และมองเห็นผลสำเร็จทางสมาธิที่มีแก่ผู้ปฏิบัติด้วยวิริยอุตสาหะ ต่อมาคุณแม่บุญเรือน ท่านได้อธิษฐานหายตัวจากศาลาไปเขาวงพระจันทร์ ท่านได้พบพระผู้วิเศษที่นั่น และได้รับพระธาตุ 1 องค์จากพระองค์นั้น กลับมาพระธาตุยังกำอยู่ในมือ เป็นพยานแก่ตัวท่านเองว่ามิได้ฝันไป

ทิพยโสตญาณ (หูทิพย์)
อภิญญาในด้านหูทิพย์ของคุณแม่บุญเรือนนี้ มีบันทึกของคุณหญิงเงียบ บุนนาค เขียนไว้ว่า ครั้งหนึ่งคุณแม่บุญเรือน ไปรักษาโรคขาบวมให้น้องสาวคุณหญิงเงียบ บุนนาค ข้างวัดอนงคาราม ธนบุรี ตอนขากลับ น้องสาวคุณหญิงเงียบมอบค่ารถให้ 20 บาท คืนวันนั้นสามีของน้องสาวคุณหญิงกลับบ้าน ทราบว่าภรรยาจ่ายเงินค่ารถให้คุณแม่บุญเรือน 20 บาท (สมัยเงินแพง) เขาเอะอะว่า คุณแม่บุญเรือนเป็นหมอไม่จริง หลอกเอาสตางค์
พอรุ่งเช้า 6 โมงเศษ คุณแม่บุญเรือนไปถึงบ้านน้องสาวคุณหญิง ข้างวัดอนงค์ นำเงิน 20 บาท ไปคืนให้ บอกว่า “เป็นเงินของคุณผู้ชายเขา ดิฉันคืนให้ ดิฉันไม่โกรธคุณหรอก คุณต้องรับเงินนี้ไว้” นี่แสดงว่าคุณแม่บุญเรือนหูทิพย์ ได้ยินคำพูดของสามีน้องสาวคุณหญิงเงียบ พร้อมทั้งรู้วาระจิตของคนพูด ว่าหมายถึงตัวคุณแม่บุญเรือนที่ไปรักษาขาบวม คุณแม่จึงรีบนำเงินไปคืนให้ เพื่อรักษาน้ำใจของน้องสาวคุณหญิงและสามีมิให้ขุ่นข้องหมองใจ
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ท่านเป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลอย่างยิ่ง นอกจากนั้นท่านยังใช้จิตอันมหัศจรรย์ของท่าน ในการอธิษฐานเพื่อช่วยคนในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยต่างๆ จนหายขาด ดังเรื่องราวที่มีผู้บันทึกไว้ในหนังสือ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อนุสรณ์”
รักษาด้วยวาจาสิทธิ์
เป็นบันทึกของนายจำรัส สุขประเสริฐ อยู่ จ.อุดรธานี มีใจความว่า “อุบาสิกาบุญเรือน โตงบุญเติม เดินทางโดยขบวนรถไฟด่วนถึง จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2496 เวลา 07.15 น. ก่อนหน้ารถไฟด่วนจะเทียบเข้าชานสถานีประมาณ 20 นาที ได้มีหมอกลงที่สถานีรถไฟและบริเวณตัวเมืองอุดรธานีหนามืดไปหมด อยู่ห่างกันประมาณ 10 วา ยังแลไม่เห็นกันเลย รถยนต์วิ่งตามถนนต้องเปิดไฟ หมอกหนามืดเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อนเลย พอรถไฟถึงสถานีประมาณ 10 นาที หมอกก็ค่อยๆ จากหายไป ชาวอุดรธานีต่างพิศวงงงงวย ต่างโจษจันกันต่างๆ นานา เมื่ออุบาสิกาบุญเรือน ลงรถไฟแล้ว มีผู้คนไปรับเป็นจำนวนมาก
อุบาสิกาบุญเรือนได้พักที่บ้านผม ค่ำของวันนี้ได้มีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก นายครรชิต สกลคลัง พนักงานธนาคารกสิกรไทยได้มาหา และบอกกับอุบาสิกาบุญเรือนว่า ตัวเขาป่วยเป็นโรคปวดท้องมาเป็นเวลานาน เวลานี้ก็ยังปวดอยู่ได้รักษาตัวหมดเงินมากมายแล้ว อุบาสิกาบุญเรือนได้ฟังจึงสั่งในขณะนั้นว่า “อย่าปวด ให้หายปวดเดี๋ยวนี้” แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็ถามนายครรชิตว่า “หายปวดหรือยัง ?” นายครรชิตตอบว่า “หายปวดแล้ว” อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งว่า “คืนวันนี้อย่าปวด” (เพราะนายครรชิตบอกว่ากลางคืนปวดแทบไม่ได้นอนทุกคืน)
ครั้นรุ่งเช้า นายครรชิตมาบอกอุบาสิกาบุญเรือนว่า เมื่อคืนนี้ไม่ปวดเลย นอนได้สบายตลอดคืน และในระหว่างที่อุบาสิกาบุญเรือนพักอยู่ที่ จ.อุดรธานี นี้ ตอนเช้าอุบาสิกาบุญเรือนได้ไปอธิษฐานจิต ให้พลังจิตแก่ประชาชนที่วัดโพธิสมภรณ์ทุกวัน มีประชาชนนำน้ำ ปูน ไพล พริกไทย สาคู มาให้อุบาสิกาบุญเรือนอธิษฐานจิตอย่างคับคั่งทุกวัน
มีคนหลังโกงคนหนึ่ง เวลาเดินต้องใช้ไม้เท้าค้ำได้มาหาอุบาสิกาบุญเรือนขอให้รักษา อุบาสิกาบุญเรือนได้ออกคำสั่งต่อหน้าประชาชนจำนวนมากว่า “ให้ทิ้งไม้เท้า !” ชายหลังโกงคนนั้นก็ขว้างไม้เท้าทิ้ง อุบาสิกาบุญเรือนจึงสั่งต่อไปให้ยืนตรงๆ ชายหลังโกงก็ค่อยๆ ยืดตัวและยืนตัวตรงได้ แล้วอุบาสิกาบุญเรือนก็สั่งให้ออกเดินและวิ่ง ชายคนนั้นก็วิ่งได้ เลยหายเป็นปรกติ เดินกลับบ้านได้เช่นคนดีๆ นับเป็นเรื่องอัศจรรย์”


นิ่วในถุงน้ำดี
ม.ร.ว.ไกรเทพ เทวกุล บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 2494 ข้าพเจ้าป่วยมีอาการแน่นจุกเสียดทุกเดือน บางที 2 ถึง 3 เดือนต่อครั้ง ครั้นถึงเดือนเมษายน พ.ศ. 2495 รู้สึกว่าอาการเช่นนี้มีมากขึ้นจนทนแทบไม่ได้ เช่นหายใจไม่ออก ข้าพเจ้าจึงได้ไปปรึกษาแพทย์ปริญญาที่ข้างบ้าน นายแพทย์ผู้นั้นได้ฉีดยาและให้ยารับประทาน อาการก็ค่อยทุเลา ต่อมาจากนั้น 2 ถึง 3 วันก็เป็นอีก นายแพทย์ผู้นั้นแนะนำว่าควรไปเอกซเรย์ดู เพราะสงสัยในอาการนั้นคงเนื่องมาจากถุงน้ำดีอักเสบ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม ปรากฏตามฟิล์มเอกซเรย์โดยนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแผนกนี้ ลงความเห็นว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แนะนำให้ทำการผ่าตัดทันที
ข้าพเจ้าได้มาปรึกษาคุณป้าบุญเรือนถึงอาการเจ็บป่วย คุณป้าได้เอ็ดข้าพเจ้ามากมายว่า ทำไมไม่มาปรึกษาฉันตั้งแต่แรก ถ้าอยากตายก็เชิญไปผ่าได้ คุณป้าจึงให้ข้าพเจ้ารับประทานไพล และน้ำอธิษฐาน กับทั้งได้ให้ปูนอธิษฐานไปทาตามบริเวณหน้าอกและท้อง เว้นวันสองวัน ท่านก็นวดให้ข้าพเจ้าหนหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด อาการก็ค่อยทุเลาและหายภายในเดือนนั้นเอง คุณป้าบุญเรือนให้ไปฉายเอกซเรย์ดูใหม่ ข้าพเจ้าก็ปฏิบัติตาม กับได้นำฟิล์มทั้งเก่าและใหม่มาเทียบกันดู ปรากฏว่าในแผ่นแรกมีวงกลมสีขาวประมาณเท่าเหรียญสองสลึง ส่วนในแผ่นเอกซเรย์ทีหลังไม่มี นายแพทย์บอกว่าในบริเวณถุงน้ำดีไม่มีก้อนนิ่วแล้ว

ยาวิเศษ
พลตรียุทธ สมบูรณ์ บันทึกไว้ว่า บางท่านที่มาทำความรู้จักกับคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม มักจะเรียกท่านว่า คุณแม่หมอ คุณยายหมอ หรือคำอื่นๆ ลงท้ายว่า “หมอ” แต่คุณแม่บุญเรือนไม่เคยรับหรืออวดอ้างว่าท่านเป็นหมอแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ดีชื่อเสียงของคุณแม่บุญเรือนก็หอมไปทั่วประเทศไทยในฐานะผู้วิเศษ ก็เพราะท่านอธิษฐานวัตถุสิ่งของต่างๆ ให้เป็นยารักษาโรคได้อย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด
คุณหมอปรีดา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระประแดง ทำยาผงแก้โรคผิวหนังออกจำหน่ายด้วยตัวยาที่คุณแม่บุญเรือนเป็นผู้บอกให้ ตัวยาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นชื่อภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าคุณแม่บุญเรือนไปทราบมาได้อย่างไร เพราะการศึกษาของคุณแม่ก็เพียงอ่านออกเขียนได้ นอกจากนั้นคุณหมอปรีดายังได้ตำรายาอีกอย่างหนึ่งคือ น้ำมันโพธิ์งาม ซึ่งคุณหมอปรีดาได้ผสมขาย ผมสีขาวใส่น้ำมันแล้วกลายเป็นสีเทาและเข้มขึ้นทุกที
ยาขนานที่ 3 คือ ยาสีฟันวิเศษนิยม ของโรงงานวิเศษนิยม ซึ่งเป็นยาสีฟันที่ทำรายได้อย่างดีตลอดมา...ยาสีฟันวิเศษนิยมนี้ “คุณแม่บุญเรือนก็เป็นผู้บอกตัวยาให้”



การสร้างวัตถุมงคล
ในวงการผู้นิยมสะสมวัตถุมงคล พระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง คนส่วนใหญ่มักจะสนใจประวัติการสร้างวัตถุมงคลของพระเกจิอาจารย์รูปต่างๆ ขณะเดียวกัน ประวัติของฆราวาสจอมขมังเวทย์ก็เป็นที่สนใจอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าพูดถึงการสร้างวัตถุมงคลของอุบาสิกาหรือแม่ชีนั้น คนวงการพระเครื่องบางคนอาจจะรู้จักบ้าง ส่วนคนนอกวงการพระเครื่องอาจจะเกิดคำถามว่า “มีด้วยหรือ ?”
วัตถุมงคลที่คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม อธิษฐานจิตมอบให้ลูกศิษย์ คือ ปฐวีธาตุหรือศิลาน้ำ (หินหรือกรวดใต้น้ำ) เพราะเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป ลูกศิษย์มักนิยมนำมาใส่ในภาชนะที่ตั้งน้ำอธิษฐานประจำวันเสาร์ และ ภาพถ่าย ซึ่งเป็นที่แสวงหาของคนวงการพระเครื่องยิ่งนัก นอกจากนี้แล้ว หนังสืออนุสรณ์ในงานบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ก็เป็นที่แสวงหาเช่นกัน
ส่วน “พระพุทโธน้อย” เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ท่านสร้างขึ้นและอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ฝั่งธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์ ส่วนด้านหลังมีอักขระขอมจารึกเป็นเส้นลึกอ่านว่า “พุทโธ”
การวายชนม์ทิ้งร่าง
คุณธรรมอันสูงส่งของ “คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม” อุบาสิกาผู้ใจบุญท่านนี้ยิ่งใหญ่ ท่านเป็นผู้เสียสละ ชอบการทำบุญ ให้ทาน ไม่ยึดติดสะสมในทรัพย์สมบัติ มีแต่เป็นผู้ให้ตลอดมา และทั้งชีวิตท่านยังได้บำเพ็ญธรรมอย่างสม่ำเสมอตราบจนวาระสุดท้ายที่ท่านได้ จากโลกนี้ไปอย่างสงบด้วยโรคหัวใจ ไต และโลหิตจาง แม้จะมีลูกศิษย์ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ต่อโดยการอธิษฐานขอ แต่ท่านก็ไม่ทำ
ท่านบอกว่า “สังขาร ร่างกายและใจ หรือขันธ์ห้านี้ไม่ใช่ตัวของเรา มันเป็นเพียงเครื่องอยู่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น เป็นเรือนทุกข์ ท่านจึงต้องการออกจากเรือนทุกข์นี้”
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้วายชนม์ทิ้งร่างไปเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2507 เวลา 11.20 นาฬิกา สิริอายุรวม 70 ปี และได้มีการบำเพ็ญกุศลฌาปนกิจศพ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2507 ณ วัดธาตุทอง แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ คุณแม่บุญเรือน ท่านรู้สถานที่ วันและเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไป โดยท่านให้ตั้งเวลานาฬิกาไว้ถึง 2 เรือนล่วงหน้า คือ 11.20 น. !!! (ตรงกับเวลาวายชนม์ทิ้งร่างไปจริงๆ)
รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก
(๑) นิตยสารหญิงไทย เรื่องโดย สายทิพย์
(๒) หนังสือพิมพ์คม ชัก ลึก - 2006/11/20
เรื่องโดย พิสิษฐ์ จันทร์ศรี
www.dhammajak.net
ราคาปัจจุบัน
-
จำนวนผู้เข้าชม
990 ครั้ง
สถานะ
โชว์พระ
โดย
ชื่อร้าน
ยังไม่เปิดร้านค้า
URL
-
เบอร์โทรศัพท์
0863790024
ID LINE
amnatdham
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
1. ธนาคารไทยพาณิชย์ / 177-2-40375-0




กำลังโหลดข้อมูล

หน้าแรกลงพระฟรี